THE IDIOT วรรณกรรณเล่าผ่านตัวละครอันน่าขัน
THE IDIOT
by
FYODOR DOSTOEVSKY
The Portrait of Prince Lev Nikolayevich Myshkin
INTRODUCING
ผมขอเล่าชีวิตส่วนตัวนิดหน่อย เพื่อที่จะได้เข้าใจตัวผมมากขึ้น ในที่นี้ผมขอใช้นามแฝงว่า Abilio ความฝันของผมมีนานานัปการ เมื่อครั้งยังเด็กยังเคยใฝ่ฝันอยากจะเป็นจิตรกรวาดภาพจิตรกรรมไทย เคยฝันแม้กระทั่งนักแสดงและนักดนตรี แต่เอาเข้าจริงๆแล้ว สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงความชื่นชอบหรือเป็นกิจกรรมที่ตนเองมักทำประจำ สิ่งที่ผมเคยอยากจะเป็นจริงๆและยังคงเป็นฝันอยู่ตรงนี้คือ นักวิจารณ์วรรณกรรม และเขียนนวนิยายดีๆสักเรื่อง อาจจะเพื่อสังคมเพื่อประชาชน หรือความบันเทิงก็ดี และเส้นทางที่ผมจะทำให้ฝันเป็นจริงได้ก็คือ เขียนวิจารณ์อะไรก็ได้สักเรื่อง เราไม่อาจสามารถเป็นนักวิจารณ์ได้หากปราศจากการเขียนหรือพิมพ์ เพื่อแสดงความคิดเห็นของตนเองออกมาต่อสิ่งๆหนึ่งให้เกิดความเคยชินกับตนเอง
ผมขออธิบายความหมายของคำว่า "วิจารณ์" คำว่า "วิจารณ์" ตามพจนานุกรมหมายถึง "ให้คําตัดสินสิ่งที่เป็นศิลปกรรมหรือวรรณกรรมเป็นต้น โดยผู้มีความรู้ควรเชื่อถือได้ ว่ามีค่าความงามความไพเราะดีอย่างไร หรือมีข้อขาดตกบกพร่องอย่างไรบ้าง" ตรงนี้ผมขอเสริมด้วยว่า "โดยผ่านความคิดของคนๆหนึ่ง" นี่คือสิ่งสำคัญของการวิจารณ์ที่ไม่ควรลืมคือ "ผ่านความคิดของคนๆหนึ่ง" เราจะไม่สามารถเชื่อได้อย่างเต็ม 100% เพราะว่าเป็นความคิดของคนหนึ่งๆ แต่อย่าลืมว่าถ้าเราไม่อ่านความคิดของคนหนึ่งๆนี้ เราก็ไม่สามารถรู้ได้ว่าคนอื่นนอกจากเราคิดอย่างไร เราจะเชื่ออยู่แต่กับตนเองไม่ได้ ทั้งนี้ทั้งนั้น ผู้วิจารณ์ก็ต้องอาศัยข้อมูลจริงบ้างล่ะ
ผมขอขอบคุณสำหรับผู้ที่มาอ่านบล็อคนี้นะครับ นับว่าเป็นสิ่งที่สำคัญต่อผมมากๆ มีอะไรแนะนำ ก็ช่วยแนะนำด้วยนะครับ ขอบคุณครับ
FYODOR DOSTOEVSKY
เราต้องรู้พื้นเพของผู้เขียนก่อน ถึงจะทราบความไปของวรรณกรรมได้ สำหรับใครที่มีหนังสือของเขา อาจจะพบชีวประวัติได้ตามหน้าแรกๆของหนังสือหรือหน้าท้ายๆของหนังสือ
ฟีโอดอร์ ดอสโตเยฟสกี้ เกิดเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน ค.ศ.1821 ที่โรงพยาบาลเซนต์แมรี ที่ๆซึ่งคนส่วนใหญ่มักจะเป็นคนยากจนที่มาโรงพยาบาลแห่งนี้ ตั้งอยู่ในกรุงมอสโคว์ พ่อของเขาเป็นแพทย์ทหาร มีนิสัยชอบสั่งและเป็นพวกคอเหล้า ส่วนแม่นั้นมีพื้นเพมาจากตระกูลพ่อค้าและเชื่อมั่นในศาสนา ดอสโตเยฟสกี้มีน้องสาว 4 คนและน้องชาย 2 คน ซึ่งก็ไม่สนิทเท่าไหร่นัก และที่ผิดกันสุดคือพี่ชายคนเดียว ทุกคนย่อมรู้ถึงชีวิตของคนเราที่ไม่ทราบว่าอนาคตเราจะเป็นเช่นไร ถึงแม้ดอสโตเยฟสกี้จะเป็นนักเขียนที่ยิ่งใหญ่ของรัสเซีย เส้นทางของเขาในวัยหนุ่มก็ไม่ได้ปูทางไว้สำหรับงานเขียนเลยแม้แต่น้อย เพราะเขาได้เข้าศึกษาต่อในโรงเรียนวิศวกรรมทหารระหว่างปี 1837-1843 และรับราชการทหาร หลังจากนั้น 1 ปี เขาก็ลาออกจากกองทัพ มาเขียนหนังสือ ก่อนหน้าที่เขาจะเขียนหนังสือ เขาเริ่มมารู้จักกับงานเขียนในช่วงทศวรรษที่ 1830 ด้วยการรู้จักไม่พอ เขายังอ่านอย่างหนัก พยายามสะสมความรู้ที่ได้จากการอ่าน เขาชอบมากๆกับผลงานคลาสสิคของพวกยุโรปตะวันตก ถึงแม้เขาจะเป็นพวก "รัสเซียแท้" ที่ไม่ยอมรับในอารยธรรมตะวันตกก็ตาม แต่เขายกย่องในความเป็นเสรีของความคิดของบรรดาปัญญาชนในยุโรปตะวันตกอย่าง วอลแตร์, เกอเธ่, โฮเมอร์ ฯลฯ แต่เขาก็ยังไม่ลืมผลงานจากแดนตนเอง เขายังชื่นชอบนักเขียนรัสเซียที่ยิ่งใหญ่อย่างพุชกิน, โกกอล, คารามาซิน เป็นต้น และยกย่องนักเขียนที่ยิ่งใหญ่ตลอดกาลอย่างลีโอ ตอลสตอย นักเขียนที่เรารู้จักกันมากที่สุดในเมืองไทย และรู้จักกันควบคู่ไปกับวรรณกรรมการเมืองอย่าง "สงครามและสันติภาพ" ตอลสตอยเป็นนักเขียนที่อายุน้อยกว่าดอสโตเยฟสกี้ ถึงแม้อายุจะน้อย แต่ก็เขามีความคิดที่มีอุดมการณ์ ขัดแย้งกันกับวิถีเดิมของรัสเซีย เขาเกิดในตระกูลชนชั้นขุนนาง เพราะฉะนั้นเรื่องที่เขาเขียนส่วนใหญ่ก็มีแต่เรื่องของชนชั้นสูง แต่ตอลสตอยก็ไม่เคยหันหลังให้แก่ชนชั้นกรรมกร ชาวนา ที่ถูกกดขี่จากพวกชนชั้นสูง และระบบการปกครองภายใต้อำนาจของพระเจ้าซาร์ อีกทั้งเขายังเคยเขียนหนังสือที่ขัดแย้งต่อสังคมในตอนนั้น จนถูกทางคริสตจักรสั่งคว่ำบาตรไป
เคาท์ ลีโอ ตอลสตอย กับภรรยา โซเฟีย ตอลสตายา ภาพถ่ายที่บ้านในยาสนายา โปลยานา
ตอลสตอยกับดอสโตเยฟสกี้ยังคงมีความเห็นเดียวกันเรื่องที่ปัดปฏิเสธรับอิทธิพลทางตะวันตกออกไป เนื่องจากยุคสมัยนั้น รัสเซียกับยุโรปตะวันตกถึงกับไม่มีความสำคัญต่อกัน แม้แต่อารยธรรมกรีก-โรมัน ก็ไม่ได้รับเข้ามา ช่วงยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการ รัสเซียก็ไม่มีส่วนร่วม เลยเรียกได้ว่าไม่ได้รับความเจริญจากแดนตะวันตกเลยแม้แต่น้อย ดอสโตเยฟสกี้เป็นนักเขียนที่ชอบเขียนแนว "ความทุกข์ของมนุษย์" มากกว่าความสุข เขาเป็นพวกนักชาตินิยมรัสเซียออโธดอกซ์ เชื่อว่าคนเราสามารถล้างบาปโดยผ่านความทุกข์ เขาเป็นพวก "ทุกขนิยม" อีกทั้งเขายังให้ความสำคัญแก่ชาวรัสเซีย เขาเชื่อว่าในขณะที่ทางยุโรปตะวันตกยังฆ่าแกงกันเรื่องศาสนา แบ่งแยกศาสนาเป็นนิกาย แต่รัสเซียก็ยังคงรักกันฉันพี่น้องอยู่เสมอ เขาเห็นว่าตะวันตกเต็มไปด้วยความบกพร่อง ความไม่สมบูรณ์ที่ไม่สามารถแบกรับสิ่งใดๆจากพระเจ้าได้อีก เขาจึงถือว่าชาติรัสเซียนี่แหละเป็นชาติที่แบกรับภาระจากพระเจ้า เขาเชื่ออยู่อย่างนั้น ทั้งๆที่ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในยุโรปตะวันตกก็พอๆกันกับการกดขี่ราษฎรภายใต้ระบบพระเจ้าซาร์ เขายังเคยเข้าร่วมขบวนการเปลี่ยนแปลงการปกครองอีกด้วย แต่การเปลี่ยนแปลงครั้งนั้นล้มเหลวจนทำให้เขาเกือบถูกประหารชีวิต เขารอดชีวิตแต่ถูกเนรเทศไปทำงานหนักที่ไซบีเรีย เนื่องจากได้เขาร่วมขบวนการโค่นล้มพระเจ้าซาร์ พอพ้นโทษก็มีชีวิตที่ทุรกันดาร ติดการพนัน หมดตัว เขาเสียชีวิตเมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1881 อายุร่วม 59 ปี
PLOT SUMMARY "THE IDIOT"
เนื้อหาตรงนี้อาจจะเรียกว่า "สปอย" เล็กน้อย ผมจะกล่าวเนื้อเรื่องย่อสั้นๆ
อีเดียดเป็นนวนิยายที่เล่าถึงชีวิตที่แปลกใหม่ของเจ้าชาย (เป็นยศที่เป็นชั้นน้อยกว่าเคาท์ ในภาษารัสเซียเรียกว่า คยาซ [Knyaz]) เลียฟ นิโคไลเยวิช มิชกิน หรือเรียกสั้นๆว่าเจ้าชายมิชกิน เป็นหนุ่มอายุใกล้จะถึงเลขสามแล้ว เดินทางมายังเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กเพื่อมาหาครอบครัวของนายพลเยปานชินที่เขาเชื่อว่าคุณนายของนายพลหรือลิซาเวตตา โปรโกเยฟนา เยปานชิน เป็นญาติห่างๆของเขา (นามสกุลเก่าของเธอคือ มิชกิน) เจ้าชายเหมือนจะพยายามให้พวกเขาช่วยเหลือเนื่องจากเขาหายดีจากอาการ "ปัญญาอ่อน" แล้ว แต่ยังขาดเงินในการใช้ชีวิต ปกติแล้วเจ้าชายจะมีผู้อุปการะเขาตั้งแต่วัยเด็ก เขาเลี้ยงเจ้าชายมาจนเติบใหญ่ภายใต้การดูแลอาการของคุณหมอจนหายดี เมื่อผู้อุปการะของเขาเสียชีวิตไป เจ้าชายก็ไม่รู้จะพึ่งใครได้แล้ว มีแต่ญาติห่างๆที่เซนต์ปีเตอร์สเบิร์กเท่านั้น
เจ้าชายเลียฟ นิโคไลเยวิช มิชกิน ในมินิซีรีย์เรื่อง "The Idiot" รับบทโดยเยฟเกนี มิโรนอฟ
ระหว่างเดินทางมาโดยรถไฟ เจ้าชายก็พบกับพาฟยอน เซมโยโนวิช โรโกซิน ชายหนุ่มหน้าตาเจ้าเล่ห์ที่หลายคนเชื่อว่าเขากำลังจะได้รับมรดกอันล้ำค่า โรโกซินเล่าให้เจ้าชายฟังถึงเสน่ห์ของหญิงสาวคนหนึ่งที่เขากำลังหลงรักอยากที่สุด หญิงสาวคนนั้นคือนาสตาเซีย ฟิลิปโปฟนา บาราสโควา เป็นหญิงสาวที่เป็นลูกของคนชนชั้นน้อย ที่ถูกเลี้ยงโดยคนชนชั้นสูงโดยจำเป็น เนื่องจากเธอสูญเสียครอบครัวของเธอไป เธอเลยเป็นหญิงชนชั้นสูงตามพ่อเลี้ยงไปด้วย และเป็นที่จับตามองของคนหลายๆคน เจ้าชายรับรู้ข่าวสารระหว่างเดินทางโดยรถไฟ เมื่อมาถึงเจ้าชายก็ลงจากรถไฟ ตรงไปที่ๆอยู่ของครอบครัวเยปานชินทันที (ในสภาพที่ไม่น่าจะเป็นเจ้าชาย คือสวมหมวกปีกกว้าง ใส่สนับแข้ง กับห่อของเล็กๆ เหมือนคนเดินทางเร่ร่อนไม่มีที่สิ้นสุด)
เจ้าชายมิชกิน ระหว่างเดินไปทางไปเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กโดยรถไฟ
เมื่อมาถึงคนรับใช้ของครอบครัวก็เปิดต้อนรับอย่างไม่แน่ใจว่าเจ้าชายมีจุดประสงค์อะไรกับการมาครั้งนี้ อีกทั้งเมื่อเข้าไปข้างในรอจนกว่าเขาจะเรียกชื่อให้แขกมาพบได้ เจ้าชายก็ยังชวนคนรับใช้คุยไปเรื่อยอย่างไม่ถือตัว ในขณะนั้นนายพลเยปานชินกำลังวุ่นอยู่กับธุระส่วนตัวกับผู้ช่วยของเขาคือกาฟริล อัรดาลิโอโนวิช อิโวลยิน (หรือเรียกสั้นๆว่า กานยา คือชื่อเล่นของเขา) เมื่อเสร็จธุระ เจ้าชายก็ได้เข้าพบนายพล พร้อมกับแนะนำตัว พยายามจะบอกว่าเขาคือญาติของภรรยาของนายพล เหมือนเขาพยายามจะให้นายพลช่วยเหลือเขาไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง เจ้าชายเสนอพรสวรรค์ของเขา คือการเขียนหนังสือด้วยลายมือที่งดงาม นายพลจึงต้องการให้เขาลองเขียนออกมาให้ดู ระหว่างนั้นนายพลกับกานยาก็คุยกันเรื่องที่ว่ากานยาได้พยายามหมั้นหมายกับนาสตาเซีย แต่จะได้คำตอบภายในคืนนี้ พร้อมกับหยิบรูปของเธอที่เธอให้มาให้กับนายพล เมื่อเจ้าชายเห็นรูปนี้จึงพูดออกมาลอยๆว่า "นี่หรือ นาสตาเซีย ฟิลิปโปฟนา ช่างงดงามจริงๆ" ทำให้ทั้งสองคนต้องถึงกับถาม "เธอรู้จักนาสตาเซียด้วยรึ ?" เจ้าชายพูดเรื่องต่างๆเกี่ยวกับเธอ โดยจำมาจากโรโกซิน พร้อมกับเรื่องที่โรโกซินได้พยายามมอบแหวนแก่เธอโดยเงินของพ่อตัวเอง เจ้าชายเลยเป็นที่จับตามองของคนในครอบครัว เมื่อเสร็จสิ้นเจ้าชายก็ได้ไปร่วมทานอาหารเช้ากับครอบครัวที่เหลือของนายพลเยปานชินคือ คุณนายลิซาเวตตา โปรโกเยฟนา เยปานชิน กับลูกสาวทั้งสามคืออเล็กซานดรา, อเดไลดา และอกลาเลีย โดยคำเชิญของนายพลเอง พร้อมยื่นข้อเสนอที่พักให้แก่เจ้าชาย โดยอาศัยอยู่รวมกันกับกานยา ที่ตอนนี้บ้านเขาเปิดเป็นที่พักให้เช่าไม่กี่ห้อง
หลังนี้ก็เกิดเหตุการณ์ๆหนึ่ง คือปัญหาที่ครอบครัวของกานยาไม่ยอมรับนาสตาเซีย ไม่ว่าจะเป็นแม่ของกานยา หรือน้องสาวของเขา วารวา อัรดาลิโอโนวิช ที่เชื่อว่านาสตาเซียดูถูกครอบครัวตน และตัววารวาก็ไม่ชอบพี่ชายตนที่เห็นแก่เงินที่จะได้ตามมาหลังการแต่งงานกับนาสตาเซีย นาสตาเซียเป็นผู้หญิงร้าย ชอบดูถูกดูแคลนคนอื่นๆ มีรอยยิ้มที่แอบแฝงความร้ายเอาไว้ แต่เมื่อก่อนนั้นเธอไม่ได้เป็นอย่างนี้ จนกระทั่งโทตสกี้ผู้เลี้ยงดูเธอได้พยายามยกเธอให้แก่คนอื่น ทั้งๆที่เธอเองก็ดูเหมือนจะไม่ต้องการใครนอกจากความรักที่ตัวโทตสกี้มอบให้ ครั้งนี้เองทำให้เธอหัวเสีย ปฏิเสธทุกสิ่งทุกอย่างตลอดมา
Portrait of Nastasya Filipovna
by piggeye
นาสตาเซีย ฟิลิปโปฟนา รับบทโดย ลิดิยา เวเลเชฟวา
นาสตาเซียแทบจะปฏิเสธการหมั้นกับกานยา เพราะรู้ว่ากานยาเห็นแก่เงินมากเกินไป และไม่ได้รักตัวเธอจริงสักเท่าไหร่ เธอเลยพยายามดูถูกดูแคลนในความไม่ซื่อสัตย์ของเขา พร้อมกับมาที่บ้านกานยาโดยไม่ได้บอกไว้ล่วงหน้า ในตอนนั้นครอบครัวแทบจะกระเจิงไปด้วยวาจาโทสะ สาเหตุมาจากที่ทางครอบครัวรู้เรื่องทุกอย่างหมดเกี่ยวกับกานยากับนาสตาเซีย รู้แม้กระทั่งคำตอบที่นาสตาเซียจะให้ภายในคืนนี้ กานยาโทษทั้งหมดนี้แก่เจ้าชาย เพราะเจ้าชายเคยเผลอพูดเรื่องนี้แก่คุณนายเยปานชิน (ซึ่งยังไม่ทราบเรื่อง) ตอนนี้เองที่นาสตาเซียได้รู้จักกับเจ้าชาย โดยรำพึงว่า "ฉันต้องเคยเจอเขามาก่อนที่ไหนสักแห่ง" การปรากฏตัวครั้งนี้ทำเอาเจ้าชายเริ่มหลงเสน่ห์ของเธอ โดยถือว่าเธอเป็น "หญิงที่น่าสงสาร" ยังไม่พอโรโกซินยังโผล่ขึ้นมาพร้อมกับพูดว่าจะนำเงินจำนวน 1 แสนรูเบิลให้แก่เธอ เพื่อพิสูจน์ว่าเขารักเธอจริง โรโกซินมาพร้อมกับความมั่นใจและกลับไปพร้อมกับความสะใจจากการเห็นสีหน้าตกอกตกใจของกานยา
ตกกลางคืนได้มีการจัดงานฉลองวันเกิดแก่นาสตาเซีย ซึ่งหลายๆคนที่มีส่วนรู้เห็นก็ทราบว่ากานยาจะได้รับคำตอบภายในค่ำคืนนี้ แต่โรโกซินกลับปรากฏตัวขึ้นมาพร้อมกับเงินแสนรูเบิลตามคำพูด (เขายืมเงินมาจากพิทซีน เพื่อนสนิทของกานยา) นั่นทำให้แขกผู้มางานตื่นตระหนกโดยเฉพาะกานยา นาสตาเซียหัวเราะอย่างเริงร่า เธอรับเงินเหล่านั้นแล้วปฏิเสธกานยา ไม่เท่านั้นเธอยังพิสูจน์ความโลภของกานยาด้วยการเอาเงินที่ห่อทั้งหมดนั้นโยนลงเตาผิงไฟ โดยเชื่ออยู่เต็มอกว่ากานยาจะต้องลุกลี้ลุกลนคลานไปเอาเงินกองนั้นให้ได้ ......แต่ไม่เป็นเช่นนั้น กานยาดันหมดสติไป นาสตาเซียเขี่ยกองเงินออกมา แล้ววางไว้ข้างๆกานยาที่นอนสลบอยู่ ไม่มีใครกล้าแตะต้องเงินกองนั้น
นาสตาเซีย ฟิลิปโปฟนา เป็นหญิงสาวในสังคมชั้นสูงที่ภายในเหตุการณ์นี้เธอเริ่มปฏิเสธสิ่งเหล่านั้น เธอพยายามจะออกห่างจากสังคมผู้ดีเพื่อให้คนอื่นมองตนในสิ่งที่ดีกว่าการมีชนชั้น แต่เธอก็ไม่สามารถทำอย่างนั้นได้ แม้ความต้องการเหล่านั้นจะมาหลอกหลอนบ่อยแค่ไหนก็ตาม เธอออกจะคล้ายเป็นผู้หญิงเสียสติที่ยอมทำได้ทุกอย่าง
และที่สำคัญ..............เจ้าชายมิชกินได้ขอเธอแต่งงานในคืนนั้นอีกด้วย แต่เธอปฏิเสธเพราะคิดว่าเธอไม่คู่ควรกับความรักที่ซื่อสัตย์แบบนี้ เธอแนะนำให้เขาควรไปรักกับอกลาเลีย ลูกสาวคนเล็กของนายพลเยปานชินแทน
นาสตาเซียปฏิเสธคำขอแต่งงานกับเจ้าชายมิชกิน
หลังจากเหตุการณ์นั้นราวสามถึงสี่เดือน เหตุการณ์ทุกอย่างก็เริ่มเปลี่ยนไปอีกหนึ่งเหตุการณ์ ทุกตัวละครในเรื่องทุกคนพากันไปพักที่พาฟโลฟ เหตุการณ์ที่พาฟโลฟมีอยู่มากมาย เจ้าได้พักอยู่ในบ้านพักของเลเบเดฟ (เป็นชายในเครื่องแบบราชการที่เขาและโรโกซินรู้จักกันเมื่ออยู่ในรถไฟ) ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ในความอิจฉาของโรโกซินที่เกือบจะฆ่าเจ้าชาย แต่เจ้าชายดันเป็นโรคชักไปเสียก่อน (ลมบ้าหมู เป็นโรคประจำตัวของเขา) เหตุการณ์ที่ลูกของคุณพาลิชเชฟ (ผู้อุปการะเจ้าชาย) มาทวงเงินทั้งหมดที่คุณพาลิชเชฟได้เสียให้แก่เจ้าชาย และเหตุการณ์ที่สำคัญ อกลาเลียได้นัดเจ้าชายมาคุยเรื่องจดหมายของนาสตาเซียที่พยายามให้อกลาเลียแต่งงานกับเจ้าชายมิชกิน (ว่ากันว่านาสตาเซียทำสิ่งนี้เพราะรักเขา) แต่อกลาเลียปฏิเสธจดหมายเหล่านี้ จริงๆแล้วเธอก็ชอบเจ้าชายมิชกิน แต่เจ้าชายมิชกินไม่แน่ใจนัก แต่เขามั่นใจว่าจะแต่งงาน
มีคืนหนึ่งที่อกลาเลียนัดพบกับนาสตาเซียเรื่องจดหมาย คืนนั้นมีอกลาเลีย เจ้าชาย โรโกซินและนาสตาเซีย แต่ดูเหมือนจะเป็นการสนทนาอย่างดุเดือดของเธอทั้งสองมากกว่า อกลาเลียเริ่มพูดถึงความรักของเจ้าชายที่มีต่อนาสตาเซีย และความเสียสติของเธอที่ปฏิเสธความรักของเจ้าชายที่มอบให้ อกลาเลียเชื่ออยู่เต็มอกว่าเจ้าชายเกลียดนาสตาเซีย และสิ่งที่นาสตาเซียได้ทำไป ทำให้เจ้าชายอับอาย เศร้า แล้วหันหน้าหนีเธอ (นาสตาเซีย) นาสตาเซียโต้กลับว่าเจ้าชายไม่มีวันเกลียดตนเองได้ พร้อมกับพูดกับเจ้าชายว่า "จำได้ไหม ที่คุณสัญญากับฉัน สัญญาว่าจะแต่งงานกับฉัน และจะยกโทษให้ทุกสิ่งทุกอย่าง" เจ้าชายได้แต่อึ้งยืนนิ่งไม่พูดอะไร เมื่อมองมาที่สายตาของนาสตาเซีย เขาก็หันหน้าไปพูดกับอกลาเลียว่า "คุณทำอย่างนี้ได้อย่างไร...........เธอ (นาสตาเซีย) ช่างน่าสงสาร" เมื่ออกลาเลียได้ยินก็อุทานพร้อมกับร้องไห้ ออกจากห้องไป เจ้าชายไม่ได้ตามไปเพราะนาสตาเซียรั้งไว้ แล้วหมดสติไป นาสตาเซียกำลังจะแต่งงานกับเจ้าชายมิชกิน
ในวันแต่งงานของเจ้าชายกับนาสตาเซีย ระหว่างที่เพื่อนเจ้าสาวกำลังจะพาเจ้าสาวเดินทางมายังโบสถ์ คนภายในหมู่บ้านก็พากันออกมาดูเจ้าสาวนอกบ้านกันใหญ่ ตอนแรกเมื่อเห็นก็พากันขบขัน แต่เมื่อนาสตาเซียส่งสายตาอันเกรี้ยวกราด ทุกคนกลับเงียบ แล้วพากันชมกันในความงามแทน ในวันนั้นความกลัวเริ่มกัดกินนาสตาเซีย เธอไม่แน่ใจว่าเธอต้องอย่างนี้หรือเปล่า เธอเริ่มกระวนกระวายกับสายตาของคนที่จ้องมาที่ตัวเธอขณะที่กำลังเดินขึ้นรถม้า ไม่แน่ใจว่าเธอรักเขาจริงไหม เธอกลัวว่าจะมอบความซื่อสัตย์แก่รักอันบริสุทธิ์ของเจ้าชายได้ ทันใดนั้นโรโกซินก็ปรากฏตัวขึ้นท่ามกลางผู้คน นาสตาเซียวิ่งไปหาเขาแล้วพูดว่า "พาฉันไปที่ไหนก็ได้" พูดเสร็จ โรโกซินก็อุ้มเธอขึ้นรถม้าคันที่จะพาเธอไปยังโบสถ์ พร้อมโยนถุงเงินให้แก่คนขับ แล้วบอกไปให้สถานีรถไฟ
เจ้าชายรู้ว่าเหตุการณ์นี้จะต้องเกิดขึ้น แล้วเขาก็รู้สึกผิดต่ออกลาเลีย เขาเลยพยายามไปหา แต่ทางครอบครัวก็ปฏิเสธเขาไม่ให้มาเยี่ยมอีกต่อไป .....หลังจากนั้นสองสามวัน เขาเลยไปตามหาโรโกซินที่บ้าน ที่เขาเคยไปเยี่ยมเขามาก่อน เขารอแล้วรอเล่า เพราะในบ้านไม่มีใครอยู่ มีแต่คนดูแลบ้านที่อยู่หลังบ้าน คนดูแลบอกว่า "เขาชอบไม่อยู่กับที่ ล่าสุดเขาบอกมาว่าเขาจะไปที่พาฟโลฟ" แต่เจ้าชายมีลางสังหรณ์ว่าโรโกซินอยู่บ้าน ถึงแม้ประตูบ้านจะล็อคก็ตาม แต่เขาก็เห็นผ้าม่านเปิดอยู่พร้อมเห็นเงาของคน เจ้าชายคิดว่าคงเป็นภาพหลอน เจ้าชายถอดใจเลยเดินกลับโรงแรมที่เขาอาศัยอยู่ ระหว่างทางก็มีคนมากระซิบ ......โรโกซินนั่นเอง เขาบอกให้เดินตามมา แต่เดินห่างๆกัน เมื่อมาถึงบ้านเขา เขาก็บอกว่าเจ้าชายว่าต้องแอบเข้าบ้าน เพราะโกหกคนดูแลบ้านไปแล้ว (จริงๆแล้วคนดูแลบ้านได้ยินพวกเขาพูดกันเรียบร้อยแล้ว) เจ้าชายถามอยู่ตลอดเวลาว่า "เธออยู่ไหน" โรโกซินได้แต่ชวนคุยไปเรื่อยๆ เมื่อเจ้าชายถามอีกครั้ง เขาก็บอกว่า "อยู่ใต้ผ้าห่มนั่น บนเตียง" เมื่อเจ้าชายเดินเข้าไปก็พบว่านาสตาเซียเสียชีวิตแล้วด้วยมีดเล่มเดียวกันกับที่โรโกซินพยายามฆ่าเจ้าชายที่มุมบันได (แต่เจ้าชายเป็นลมชักเสียก่อน) เจ้าชายอึ้ง ทำเหมือนว่าตัวเองรู้แล้วว่าเธอต้องตาย ส่วนโรโกซินก็เริ่มสติแตก บ้าคลั่ง เขาร้องออกมาดังๆ แล้วพูดเรื่องอดีตทั้งหมดที่ผ่าน พร้อมกับร้องไห้ ภาพนั้นเป็นภาพที่น่าสลดมาก โรโกซินนอนร้องไห้อยู่บนอกของเจ้าชาย เจ้าชายได้แต่ลูบศีรษะเขาแล้วนิ่งเงียบ จนมีคนพังประตูเข้ามาหลายคน เป็นตำรวจเสียส่วนใหญ่ (เพราะคนดูแลบ้านสงสัยมานานแล้วกับพฤติกรรมของโรโกซิน) โรโกซินถูกจับไปดำเนินคดี เขาให้การตรงทุกอย่าง พร้อมถูกตัดสินประหารชีวิต ส่วนเจ้าชายรอดตัวไปเพราะไม่ได้เกี่ยวข้อง แต่เขาต้องแลกชีวิตกับโรคปัญญาอ่อน เขากลายเป็นคนปัญญาอ่อนอีกครั้งเพราะอาการช็อคจากเหตุการณ์นั้น แล้วเขาก็ถูกส่งให้หมอคนเดิมรักษาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เขาก็มีเพื่อนและไม่โดดเดี่ยว เพราะคนที่รู้จักเขาก็มาเยี่ยมเขาบ้าง โดยเฉพาะคุณนายลิซาเวตตา โปรโกเยฟนา เยปานชิน
ถือว่าเป็นการจบที่เศร้าโศกและสลดใจอย่างที่สุด ตามแบบของดอสโตเยฟสกี้
อกลาเลีย เยปานชิน ในฉากครั้งแรกที่เจอเจ้าชาย ในมินิซีรีย์ The Idiot
นาสตาเซีย ฟิลิปโปฟนา ในชุดวิวาห์ ในมินิซีรีย์ The Idiot
ดอสโตเยฟสกี้ อัจฉริยะ เกียรติยศ และผู้หญิง
ทีนี้เราก็รู้ว่า The Idiot เล่มนี้ เป็นหนังสือที่เกี่ยวกับผู้หญิง (โดยส่วนใหญ่) คงไม่มีใครเชื่อว่าเขาเขียนหนังสือเล่มนี้โดยมีเนื้อหาเกี่ยวกับตัวเขาโดยตรงสองสามอย่าง หรือเรียกได้ว่าเป็นความสัมพันธ์ระหว่างเนื้อเรื่องของตัวผู้เขียน
อย่างแรก เจ้าชายเลียฟ นิโคไลเยวิช มิชกิน มีโรคประจำตัวคือลมชัก เช่นเดียวกับดอสโตเยฟสกี้ ภายในเรื่องจะมีฉากหนึ่งที่เจ้าชายมีอาการจะเป็นลมชัก ซึ่งเขาเขียนอธิบายทั้งอารมณ์ ความรู้สึก จนเรารู้ไปตามๆกันว่าลมชักมันน่ากลัวขนาดไหน เขาเขียนผ่านประสบการณ์ของตนเองมาอย่างละเอียดเกี่ยวกับอาการน่าเกลียดน่ากลัวนี้
อย่างที่สอง ประสบการณ์ของเจ้าชายมิชกิน เป็นประสบการณ์เดียวกันกับดอสโตเยฟสกี้ คือเมื่อเจ้าชายไปหาครอบครัวนายพลเยปานชิน ระหว่างที่เขารอนายพล เขาก็ได้เล่าเรื่องการประหารชีวิตให้คนรับใช้ฟัง (เมื่อรับประทานอาหารกับคุณนายและลูกสาวทั้งสาม เขาก็เล่าให้ฟังเช่นกัน) เจ้าชายกล่าวว่าคุณหมอเคยพาเขาดูการประหารชีวิตอันน่าสลดของเมืองในสวิตเซอร์แลนด์ เจ้าชายอธิบายความรู้สึกทั้งหมดให้คนรับใช้ฟังอย่างน่าคิด ราวกับตนเองจะถูกประหารจริงๆ โดยแท้จริงแล้วคนที่เกือบถูกประหารก็คือตัวดอสโตเยฟสกี้นี่เอง ดอสโตเยฟสกี้เคยเข้าร่วมขบวนการเปลี่ยนแปลงการปกครองเพื่อโค่นล้มพระเจ้าซาร์ แต่ไม่สำเร็จ เขาเลยถูกส่งไปประหารชีวิต เขาเล่าคร่าวๆว่าการเดินทางของนักโทษประหารบนรถ เวลาช่างมีค่าเสียเหลือเดิน นักโทษรู้สึกมีเวลาอีกมากมายกว่าจะถึงสถานที่ประหารชีวิต กว่าจะถึงหัวมุมถนนใกล้ตลาด ทุกวินาทีมีค่าสำหรับพวกเขา ทั้งๆที่พวกเขาได้ผลาญมันอย่างไร้ประโยชน์ในชีวิตอันโสโครกของพวกเขาก่อนมาที่นี่ ดอสโตเยฟสกี้ยังอธิบายผ่านตัวเจ้าชายอีกว่า ระหว่างที่พวกเขาถึงเวลาที่จะประหารชีวิต พวกเขากำลังมองดูผู้คน แล้วพวกเขาก็วางศีรษะของพวกเขาลงบนแท่นกิโยติน (เครื่องประหาร ใช้มีดเล่มใหญ่ตัดศีรษะ) ในขณะนั้นมีเวลา 2-3 นาที ที่พวกเขาจะนึกถึงครอบครัว บาปที่ตนเองทำ ภาวนา สวดมนต์และให้อภัยตนเอง ทุกสิ่งทุกอย่างเข้ามาในหัวเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ หนำซ้ำเจ้าชายยังพูดว่า "ความรู้สึกจะเป็นเช่นไร เมื่อศีรษะถูกตัดไป เราจะเจ็บไหม ถ้ามีดลงมาฉับเดียวขาด ก็อาจจะมีความรู้สึกบ้าง เพราะฉะนั้นก็อาจจะรู้สึกเจ็บ" ซึ่งเป็นคำถามที่เราไม่สามารถตอบได้ หรือเราอาจจะตอบได้ เราอาจจะมีความรู้สึกพอที่จะตะโกนออกมาดังๆขณะที่ศีรษะหลุดว่า "มันไม่เจ็บนะโว้ย กูจะบอกให้"
อย่างที่สาม เรื่องของผู้หญิงของเขา การหยิบตัวละครนาสตา ฟิลิปโปฟนา บาราสโความาเล่าเรื่องนั้น มีที่มาที่ไป นาสตาเซียของเราในเรื่องนี้ คือ "อโปลลินาเรีย โปรโฟเยฟนา ซุสโลวา" หรือโปลินา ซุสโลวา หญิงที่ดอสโตเยฟสกี้เคยรักอย่างหัวปักหัวปำ
Polina Suslova c.1890 อายุ 51 ปี
Polina Suslova
Polina Suslova c.1867 อายุ 28 ปี
เรื่องมีอยู่ว่าในปี 1861 ซุสโลวาได้เข้าวิชาเรียนที่สอนโดยดอสโตเยฟเสกี้ ซึ่งตอนนั้นเขาเป็นนักเขียนที่มีชื่อเสียงไปแล้ว เขาเป็นผู้บรรยายที่นิยมในกลุ่มหนุ่มสาว ในตอนนั้นดอสโตเยฟสกี้อายุ 40 ปี ส่วนเธออายุ 21 ปี เธอพยายามจะให้เขาสนใจเธอ แต่เขาไม่ได้สังเกตเสียเท่าไหร่ ในที่สุดเธอก็เขียนจดหมายรัก ว่ากันว่าเธอได้นำงานเขียนของเธอไปให้เขาดู และขอให้เขาให้คำแนะนำ จะเป็นยังไงได้ล่ะสาววัยรุ่นกำลังขอคำแนะนำจากเขา เขาก็ต้องรับคำขอนั้นสิ หนำซ้ำยังสัญญาเธอช่วยในเรื่องของการเขียนหนังสืออีกด้วย ทั้งสองคนก็ดูเหมือนจะชอบพอกัน แต่ในข้อมูลที่คนรู้ๆกัน อย่างเช่นในวิกิพีเดีย จะอธิบายในลักษณะนิสัยของเธอ (ซุสโลวา) ว่าเป็นผู้หญิงชอบอาฆาตกับคนอื่น ชอบหึงหวงของตนและเห็นแก่ตัวคล้ายๆกับตัวละครหลายตัวละครในนวนิยายของดอสโตเยฟสกี้อย่างเช่น โปลินา ในนวนิยายเรื่อง The Gambler, นาสตาเซีย ฟิลิปโปฟนา ในนวนิยายเรื่อง The Idiot, คาเทรินา อีวานอฟนา มาร์มีลาโดวา ในนวนิยายเรื่อง Crime and Punishment แต่ในความจริงแล้ว ซุสโลวาไม่ใช่ผู้หญิงบ้าบอเหมือนที่วิกิพีเดียหรือนวนิยายของดอสโตเยฟสกี้ได้บ่งบอกถึง จริงๆแล้วเป็นความผิดของดอสโตเยฟสกี้ ช่วงนั้นดอสโตเยฟสกี้กำลังติดพนันอย่างกู่ไม่กลับ แถมกำลังคบหาดูใจกับซุสโลวาอีกด้วย มีครั้งหนึ่งที่ดอสโตเยฟสกี้กับซุสโลวาได้เคยนัดเจอกันถึงประเทศฝรั่งเศส แต่ดอสโตเยฟสกี้ไม่ไป เขากลับไปหาเกมพนันต่อ จนทำให้ซุสโลวาต้องตัดใจไปคบกับหนุ่มนักศึกษาแพทย์แทน หลังจากนั้น ดอสโตเยฟสกี้ก็เริ่มสำนึกต่อการกระทำของตนเอง เขารู้สึกผิดแต่ไม่มาก เพราะเขาเชื่อว่ายังไงซุสโลวาไม่ยอมตัดใจจากเขาแน่ เชื่อว่าเธอยังรักเขาอยู่และเชื่อว่าสักวันเธอจะกลับมาหา ......แต่เธอไม่ทำเช่นนั้น ด้วยเหตุนี้ดอสโตเยฟสกี้จึงมีอคติกับซุสโลวาเป็นพิเศษ เขาจึงประณามเธอด้วยการสวมบทตัวละครในนวนิยายอย่างโหดร้าย ซึ่งก็ร้ายกาจไม่เบากันเลยทีเดียว
นวนิยาย Crime and Punishment โดย Fyodor Dostoevsky
ภาพยนต์ The Gambler (1974) เป็นภาพยนต์เสนอรูปแบบการพนันในยุคใหม่ โดยนำเสนอจากนวนิยาย The Gambler โดย Fyodor Dostoevsky
นวนิยาย The Gambler โดย Fyodor Dostoevsky นวนิยายเกี่ยวกับการพนันที่เสนอผ่านประสบการณ์จริงของผู้เขียน
วิพากษ์วิจารณ์ THE IDIOT
The Idiot ไม่ใช่วรรณกรรมที่ถือว่าเป็นสุดยอดของวรรณกรรมรัสเซียเทียบเท่ากับ สงครามและสันติภาพ (War and Peace) หรือ แอนนา คาเรนนินา (Anna Karenina) ของลีโอ ตอลสตอย แต่ก็เป็นหนึ่งในสี่วรรณกรรมคลาสสิคของเขา (ดอสโตเยฟสกี้) ที่จัดเป็นนวนิยายข่มขื่นอันดับต้นๆของเขา แต่อย่างไรก็ตาม The Idiot เป็นผลงานแรกของเขาที่ผมได้รู้จัก และได้อ่านมันหลังจากชมภาพยนต์เรื่อง The Machinist (แสดงนำโดยคริสเตียน เบล) มีฉากๆหนึ่งที่ตัวเอกของเรื่องที่เป็นโรคนอนไม่หลับและผอมกระหร่องอ่านนวนิยายเล่มหนา .....และเล่มนั้นก็คือ The Idiot หลังจากผมดูจบ ผมก็มานึกว่าผู้กำกับพยายามจะบอกอะไรผ่านหนังสือเล่มนี้ มันต้องมีอะไรสักอย่าง เพื่อให้หายสงสัย ผมเลยไปยืม The Idiot จากห้องสมุดมาอ่านจนจบ แต่ก็ไม่อ๋อสักเท่าไหร่ ไม่ได้อ่านจบแล้วถึงกับรู้จนถึงบางอ้อว่าผู้กำกับภาพยนต์ต้องการให้สื่อผู้ชมถึงอะไร ในนวนิยายก็เป็นเพียงตัวเอกที่หายจากปัญญาอ่อนและมีโรคประจำตัวคือโรคลมชักก็เท่านั้น เพราะฉะนั้น ภาพยนต์ก็ไม่ได้สื่อให้เรารู้ถึงอะไรเลย ก็เป็นแค่ความอยากส่วนตัวของตัวเอกภายในภาพยนต์ แต่อย่างน้อยก็ทำให้ผมได้รู้จัก The Idiot โดยบังเอิญ
ผมไม่เคยอ่านผลงานอื่นๆของดอสโตเยฟสกี้นอกจากเรื่องสั้น The Dream of a Ridiculous Man ผมจึงไม่ทราบอย่างแน่นอนว่านวนิยายเล่มอื่นจะดำเนินเรื่องอย่างไรบ้าง การดำเนินเรื่องภายใน The Idiot ไม่ถึงกับดีมากๆเพราะมีบางบทที่ต้องใช้ความคิดร่วมอารมณ์ไปกับตัวละครภายในเรื่อง บางคนอาจจะอ่านแล้วเบื่อเพราะไม่ชอบอะไรแบบนี้ ต้องมานั่งอ่านคนพร่ำเพ้อแต่ความคิดและจินตนาการ แต่ใครที่ชอบดื่มด่ำกับความคิดของนักเขียนที่เขียนผ่านตัวละคร คุณก็อาจจะชอบก็ได้ บทสนทนาส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องของความคิดส่วนตัวของตัวละครที่นำมาถกเถียงกันไม่ว่าจะเป็นเรื่องศาสนา การปกครอง และความถูกต้องดีงามแลเกียรติยศ ดอสโตเยฟสกี้ถ่ายทอดออกมาค่อนข้างดี โดยดูก็รู้ว่าผ่านความคิดเห็นของเขาล้วนๆ โดยเฉพาะเรื่องศาสนาอย่างคริสเตียนออโธดอกซ์
สำหรับความไหลลื่น (ต่อเนื่อง) ของการดำเนินเรื่อง ดอสโตเยฟสกี้เขียนดำเนินเรื่องง่ายๆ ไหลตามเหตุการณ์ ไม่มีก่อน ไม่มีหลัง ไม่มีการตัดไปฉากอื่น นี่เองกระมัง ที่เขาว่าแนวการเขียนของดอสโตเยฟสกี้ในเรื่องนี้ค่อนข้างน่าเบื่อ เพราะดำเนินเรื่องไปเรื่อยๆจนจบ ไม่ค่อยมีอะไรให้น่าติดตาม อาจจะมี แต่เพียงบางเหตุการณ์เท่านั้น หลังจากเหตุการณ์อันน่าตื่นเต้น ก็กลับมาสู่การดำเนินเรื่องเรื่อยๆของเขาต่อไป ครั้งแรกที่ผมอ่านผมคาดไว้ว่านวนิยายเรื่องนี้จะต้องเป็นพล็อตเดิมแหงๆ คือตัวเอก ถึงแม้จะเป็นอดีตคนปัญญาอ่อน แต่งตัวไม่ค่อยจะสมยศเจ้าชาย แต่ผมก็เชื่อว่าต้องมีอะไรบางอย่างที่ทำให้เขาสูงส่งขึ้นไปอีก ยิ่งอ่านไปถึงตอนที่เขาคลุกคลีกับครอบครัวเยปานชิน ก็ยิ่งเชื่อเข้าไปอีกว่าเจ้าชายมิชกินต้องกลายเป็นคนชั้นสูงขึ้นไปอีกแน่ๆ ..............แต่ผมก็ผิดคาด ดอสโตเยฟสกี้ดำเนินเรื่องโหดร้ายกว่านั้น เจ้าชายก็ยังคงเป็นคนปัญญาอ่อนในสายตาคนอื่นๆ แม้แต่คนรอบข้างใกล้ชิด จริงๆแล้วดอสโตเยฟสกี้ไม่จำเป็นต้องทำให้เจ้าชายมีอดีตเป็นคนปัญญาอ่อนก็ได้ เนื่องจากการกระทำของเขาก็หลงเหลือความเป็นชายที่ไม่เต็มเต็งอยู่บ้าง การที่เขาใส่บทของคนที่มีอดีตเป็นคนปัญญาอ่อน มันยิ่งทำให้เจ้าชายกลายเป็นคนที่น่าสงสารขึ้นไปอีก เพราะเรื่องเล่าที่ว่าเขาเคยเป็นปัญญาอ่อนเป็นข่าวแพร่กระจายไปทั่ว จนคนอื่นๆเขาต้องคิดเพียงอย่างเดียวคือ หากเขาทำอะไรบ้าๆ ก็เพราะเขาเสียจริต เหมือนตอนที่เจ้าชายเลือกผู้หญิงที่แน่นอนไม่ได้อย่างนาสตาเซีย ฟิลิปโปฟนา
ถ้าถามว่าเราได้อะไรจากการอ่านนวนิยายเรื่องนี้ ก็อาจจะตอบไม่ได้แน่ชัดนัก แต่ที่แน่ๆคือเรารู้ว่าคนปัญญาอ่อนยังไงก็รักษาไม่หาย ผู้ที่ประสบกับโรคนี้จะไม่มีวันใช้ชีวิตอย่างสงบสุขได้หากมีโรคนี้เกาะกินอยู่ แม้จะหายเป็นปลิดทิ้งก็ตาม แต่เมื่อใดที่จิตไม่อยู่กับเนื้อกับตัว หรือที่เราเข้าใจกันคืออารมณ์ชั่ววูบ อาการเหล่านั้นก็จะมาเยือน มันเป็นเสมือนกับสิ่งที่มาแทนที่ความเป็นตัวเราที่ไม่มีอยู่ในนั้น แต่เราคงไม่ได้เปรียบไปไกลถึงขนาดที่จะสอนใจว่า "จงมีสติอยู่เสมอ" ที่กล่าวมาทั้งหมดก็เพียงแค่ความคิดเห็นส่วนตัวของผมเฉยๆ สรุปแล้วคือนวนิยายเรื่องนี้ให้ความบันเทิงแบบทุกข์ๆ และที่สำคัญ ผมเชื่อว่านวนิยายเรื่องนี้ยังสอนเราให้รู้จักถึงลักษณะของตัวละครภายในเรื่องแบบเสมือนจริง (นั่นคือประสบการณ์ที่ดอสโตเยฟสกี้ได้รู้จักกับสันดานอันหลากหลายของมนุษย์) คือ ลักษณะของคนในเครื่องแบบ คนชนชั้นสูง ชนชั้นกลาง ลักษณะของคนอิจฉาริษยา ลักษณะของความลังเลใจ ฯลฯ องค์ประกอบของสิ่งเหล่านี้ประกอบด้วยอารมณ์ความนึกคิดที่ดอสโตเยฟสกี้ได้ถ่ายทอดออกมาผ่านตัวละคร ทำให้เรารู้ว่าเขาหรือเธอผู้นั้นมีความรู้สึกอย่างไรที่ได้กระทำบางสิ่งบางอย่างนั้นลงไป อารมณ์ความรู้สึกและความนึกคิดเหล่านั้น ดอสโตเยฟสกี้ได้อธิบายออกมาในลักษณะของตัวหนังสือที่ทำให้ผู้อ่านรู้สึกตามไปด้วย อารมณ์ความรู้สึกความนึกคิดยังสอดคล้องกับลักษณะบุคลิกของคนๆนั้นอีกด้วย เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นตัวเรา รวมทั้งความคิดหรือตัวเราทั้งหมดนี้เองที่สั่งการให้เรามีความรู้สึกร่วมไปกับมัน และแสดงถึงความเป็นปัจเจกบุคคล ยกตัวอย่างเช่นความรู้สึกที่ตัวละครใกล้ตายภายในเรื่องต้องการที่ให้ทุกคนลืมตัวเขาไป ไม่ต้องการให้ใครมาเห็นใจตัวเขา ทั้งนี้เพราะความถือตัวของเขา เขา (ในเรื่อง) ได้อธิบายสิ่งเหล่านี้ผ่านจดหมายของเขาที่เขาต้องการให้เจ้าชายโดยตรง
เราสามารถนึกได้เลยว่าการที่ดอสโตเยฟสกี้ได้สร้างตัวละครอย่างเจ้าชายมิชกิน เป็นการสร้างโดยถือความพอดีไม่ต่ำไม่สูง นั่นคือ หากมิชกินไม่ได้เป็นเจ้าชาย เขาก็อาจไม่สามารถคลุกคลีหรือมีคนอื่นๆมานับถือเขาอย่าง เลเบเดฟ, โคลยา แม้แต่ตัวนาสตาเซียเองด้วย (ที่ถือเกือบคิดว่าเจ้าชายเป็นคนรับใช้บ้านกานยา) แถมยังมีอดีตเป็นคนปัญญาอ่อนเข้าไปอีก ไหนจะมีโรคลมชักด้วยอีก การมียศเข้ามาเสริมเข้าไปทำให้ตัวละครดูไม่ย่ำแย่มาก และการที่มียศเจ้าชายแล้วตัดโรคภัยอื่นๆออกไป ก็อาจจะทำให้เขาสมบูรณ์แบบเกินไป (คงไม่ใช่แนวที่ดอสโตเยฟสกี้อยากจะเขียนเสียด้วย) ดอสโตเยฟสกี้เป็นนักเขียนที่ปฏิเสธการเขียนเรื่องเกี่ยวกับชนชั้นสูง เพราะเขาไม่ได้คลุกคลีกับมันมากนัก เขาไม่ได้อยู่ชนชั้นสูงแต่อยู่ชนชั้นกลางเลยเห็นเรื่องทุกข์ๆ เรื่องเศร้าๆมาบ้างมากมายกว่าลีโอ ตอลสตอย ที่เกิดมาในตระกูลขุนนางเก่าแก่ หนังสือของเขามีแต่เรื่องของชนชั้นสูง อย่างไรก็ตามหนังสือของเขาก็เป็นที่ยกย่องของคนทั่วไป เนื่องจากมีส่วนร่วมในการเปลี่ยนแปลงประเทศ (บางส่วน) ในช่วงยุคโค่นล้มพระเจ้าซาร์ เขาสามารถหยุดโทษการประหารชีวิตด้วยหนังสือของเขา และอื่นๆอีกนอกจากนี้
สำหรับตอนจบของเรื่อง นับว่าเป็นตอนจบที่น่าใจหาย (อาจจะสำหรับผม) เพราะผมไม่คาดไม่ถึงจริงๆว่านาสตาเซียจะโดนฆาตกรรมเงียบเพราะความหลงของโรโกซิน ถึงตอนนี้ผมก็ยังไม่เข้าใจถึงเหตุผลของโรโกซินมากนัก อาจจะมีหลายปัจจัย อาจจะเพราะว่าโรโกซินหลงเสน่ห์ของนาสตาเซีย แต่ต้องวุ่นอยู่กับความกระวนกระวาย การอยู่หยุดนิ่งไม่ได้ของนาสตาเซีย อารมณ์ชั่ววูบของเธอ (ที่ไล่เขาไปบ้าง ตามหาเขาบ้าง รักเขาบ้าง เกลียดบ้าง หนีบ้าง) ที่ทำให้ชีวิตของเขาต้องวุ่นวายไปด้วย หลังจากฉากนี้ทำให้เราทราบเลยว่าเธอเป็นผู้หญิงที่ "น่าสงสาร" จริงๆ เพราะเธอไม่สามารถบรรลุความปรารถนาของเธอเองได้ เธอต้องการที่จะหลีกหนีจากโลกภายนอก หลีกหนีจากสังคมต่างๆตลอดจนตัวเธอเอง ที่เธอเองก็ไม่สามารถเข้าใจในตัวตนของเธอเองได้ เป็นบทสรุปที่สรุปได้ดีในตอนท้าย เธอได้เดินตามความปรารถนาของเธอแล้ว โดยผู้ชายที่รักและไม่ได้รักของเธอ
นอกจากนี้แล้ว ดอสโตเยฟสกี้ทำให้เราเข้าใจและรู้จักความเป็นรัสเซียมากขึ้นอีกด้วย ไม่ว่าจะในด้านสังคมรัสเซีย วัฒนธรรมและศาสนา โดยผ่านความคิดของตัวละครต่างๆใน The Idiot
บทสรุปคือ ถ้าเป็นผมให้คะแนนเต็ม 5 ดาว ผมให้เพียง 3.5 สำหรับความบันเทิง 4 ดาวสำหรับความเป็นวรรณกรรมที่มีวัฒนธรรม ความรู้ สังคมและความคิดของปัจเจกบุคคล ทำให้เรารู้โลกภายนอกในรัสเซียไม่น้อยเลยทีเดียว เป็นเสมือนคู่มือความคิดที่สอดแทรกเข้าไปในเรื่อง
3.5 ที่ว่านี้คือไม่ใช่ทุกคนทุกวัยสามารถอ่านได้ จริงๆแล้วอ่านได้ทุกคนทุกวัย แต่สำหรับบางคนที่เน้นความบันเทิง ความสนุก ความน่าตื่นเต้นนั้น บางทีเล่มนี้คงไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีแน่ แต่คุณอาจจะหลงรักมันก็ได้
สำหรับในเมืองไทยมีเล่มที่แปลอยู่นะครับ อาจจะหายากหน่อย
การสนทนาผ่านหนังสือ วรรณกรรมและเรื่องเล่า Books through one's mind ต้องขอขอบคุณท่านผู้อ่านเป็นอย่างยิ่งนะครับที่รับฟังการเล่าและการวิจารณ์ของผม แล้วกลับมาสาธยายหนังสือกันอีกเร็วๆนี้กับผม สำหรับโอกาสหน้าพบกันกับ "Donquixote de lamancha" วรรณกรรมอมตะจากดินแดนสเปน
ABILIO .........
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น